Categories
รีวิวของใช้

K120 คีย์บอร์ดทรงมาตรฐานจากแบรนด์คุณภาพอย่าง Logitech

แม้ว่าเราจะสามารถพบเจอสินค้าหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับแบรนด์ Logitech ในฐานะของแถมเมื่อซื้อคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊กจากร้านขายคอมพิวเตอร์อยู่บ่อยครั้ง แต่คุณภาพของสินค้าแบรนด์ Logitech นั้น อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร รวมทั้งสินค้าจากแบรนด์ Logitech ที่วางขายตามร้านนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพดีไม่แพ้กับแบรนด์สินค้าอื่นๆเลยทีเดียว แถมยังขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายของสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ รวมทั้งคีย์บอร์ด K120 ตัวนี้เอง ก็เป็นคีย์บอร์ดขั้นพื้นฐาน สำหรับผู้ที่ต้องการคีย์บอร์ดสักอันในราคาไม่แพง เน้นใช้ในการทำงานอย่างเดียว

รายละเอียดของ คีย์บอร์ด Logitech รุ่น K120

คีย์บอร์ด Logitech รุ่น K120 มีขนาด 45 x 15.5 x 2.3 เซนติเมตร ถือเป็นขนาดมาตรฐานของคีย์บอร์ดที่พบเจอได้ทั่วไป โดยตัวคีย์บอร์ด Logitech จะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผ้า ด้านล่างมีส่วนโค้งยื่นออกมาเล็กน้อยไว้ใช้ในการวางมือ เพื่อการพิมพ์ที่ถนัดมากยิ่ง และยังมีขาตั้งที่เมื่อกางออกมานั้นจะเปลี่ยนองศาของการพิมพ์ใด้ถนัดขึ้น วัสดุทำมาจากพลาสติก ABS แข็งแรงและเบาในระดับหนึ่ง มีน้ำหนักโดยรวมของตัวคีย์บอร์ดอยู่ที่ 550 กรัม ถือว่าเบามาก เหมาะกับการพกพาไปใช้นอกสภานที่ K120 เป็นคีย์บอร์ดแบบใช้สายที่ให้ความยาวมาถึง 150 เซนติเมตร เป็นสายพลาสติกทั่วๆไป จึงต้องระมัดระวังในการใช้งานนิดหน่อย หัวเสียบเป็นแบบ USB ใช้งานง่ายเพียงเสียบเข้าคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊กไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆเพิ่มเติม รับรองการใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Windows, Linux หรือ Chrome OS ที่พบได้ตามสมาร์ททีวี สำหรับการวางปุ่มต่างๆบนโต๊ะคีย์บอร์ดนั้น เป็นการวางตามมาตรฐานการพิมพ์มีปุ่มให้ครบทุกปุ่ม โดยจะมีตั้งแต่ปุ่มพิมพ์อักษร, ฟังก์ชัน F และ Num Pad ที่แต่ละปุ่มมีการสกรีนที่คมชัดตัวใหญ่ แม้ว่าคีย์บอร์ด K120 จะเป็นเทคโนโลยีเก่าแก่ ไม่ใช่แบบแมคคานิคคอลคีย์บอร์ดที่มีสัมผัสในการกดนุ่มและเบามากๆ แต่สัมผัสในการกดนั้น อยู่ระดับที่นุ่มสบายกำลังดี เสียงไม่ดังมากนัก โดยทาง Logitech รับรองอายุการใช้งานว่า แต่ละปุ่มนั้นสามารถกดได้ถึง 10 ล้านครั้ง 

โดยรวมแล้ว คีย์บอร์ด Logitech รุ่น K120 ก็เป็นคีย์บอร์ดมาตรฐานทั่วๆไปที่ราคาสูงกว่าเจ้าอื่นเล็กน้อย โดยราคาจะอยู่ที่ 200-300 บาท ซึ่งในราคาเดียวกันนั้น ยังมีคีย์บอร์ดยี่ห้ออื่นๆที่อาจจะมีการใส่ฟังก์ชั่นแสงในคีย์บอร์ดให้สามารถใช้งานในที่มืดได้ด้วย แถมยังสามารถกันน้ำได้ เพราะ K120 ป้องกันได้เพียงฝุ่นกับละอองน้ำเล็กน้อย แต่ที่ได้มานั้นคือคุณภาพของตัวสินค้าที่มีความแข็งแรง ทนทานใช้งานได้ยาวนาน นอกจากนี้ ยังมีการจัดวางองค์ประกอบต่างๆของคีย์บอร์ดให้ใช้ในการทำงานอย่างต่อเนื่องได้ดี

#อุปกรณ์ไอที #Logitech รุ่น K120 #รีวิวของใช้

Categories
รีวิวของใช้

รีวิว โทนสีฟิล์ม สำหรับมือใหม่หัดเล่นฟิล์ม

ฟิล์มถ่ายภาพแต่ละโทนก็ให้สีภาพที่สวยชิคแตกต่างกัน ม้วนฟิล์มแต่ละแบบแต่ละยี่ห้อก็ให้โทนภาพที่หลากหลาย เหมือนกับแอปแต่งรูปที่มีหลากหลายโทนสีให้เลือก แต่ฟิล์มมีเสน่ห์ตรงที่มันมีกลิ่นอายแบบย้อนยุค คล้ายกับว่าเรากำลังนั่งดูภาพอัลบั้ม ให้ความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ดู และนึกถึงความทรงจำของวันวาน ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำฟิล์มสุดชิคที่มือใหม่ควรมี ตามมาดูกันเลยว่าจะมีฟิล์มแบบไหนถูกใจคุณบ้าง

1.Fujifilm Fujicolor C200 

เป็นฟิล์มที่ยังเห็นในปัจจุบันกาล เทียบกับฝั่ง Kodak ก็เทียบได้กับรุ่น Color Plus 200 หาซื้อได้ทั่วไป หาไม่ยาก ราคาถูกสุดของ Fujifilm ISO 200 เหมาะกับถ่ายทั่วๆไป เช่นถ่าย ต้นไม้ใบหญ้า สีมันค่อนข้างธรรมชาติดี  Fuji โดยรวมๆจะถ่ายต้นไม้ใบหญ้าดีกว่าแดดๆ ข้อดีของมันคือ ถูกพอๆกับ Kodak Color Plus 200

2.Fujifilm Fujicolor 100

แพ็คเกจเรียบๆแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่น มันขายเฉพาะในญี่ปุ่น ก็เลยเป็นแพคภาษาญี่ปุ่นเรียบๆ พื้นขาว ตัวหนังสือเขียว เป็นตัวเบสิคๆ โทนภาพของมันจะดู Contrast โอเคกว่าตัว C200 อันนี้ดูมีมิติกว่า และมันก็ยังคงเอกลักษณ์ของ Fuji เอาไว้ คือโทนอมเขียวธรรมชาติ คือถ้าเจอใบไม้ใบหญ้านี่สีจะจริงมากกก ถ้าเป็นสีอื่นจะออกตุ่นๆหน่อย ISO 100 เอาไว้ถ่ายแดดๆ ดอกไม้ ก็สวยดี สีไม่จัดมาก ถ่าย Street ก็เหมาะดีนะ

ราคา 155 – 175 บาท แล้วแต่ร้าน

3.Kodak Gold 200

ตัวนี้ก็ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน เป็นฟิล์มซุปเปอร์คลาสสิคตลาดกาล ตัวนี้ให้ Contrast ภาพที่ดีกว่า Color Plus 200 พอสมควร  แต่ก็ออกโทน Bright และ Warm อยู่นะ มี ISO 100 , 400 ด้วย แต่แพงกว่า หายากกว่า  ส่วนใหญ่หาง่ายๆก็ ISO 200 เหมาะกับสภาพทั่วๆไป กลางวันก็ได้ เย็นก็ดี ให้สีค่อนข้างถูกต้องกว่า ถ้าเกิดสแกนภาพเองจะเห็นเลยว่า สแกนมันจะจับสีมาถูกต้องง่ายกว่า สีก็ไม่จัดจ้านมากไป ฟิล์มสวยงาม ตัวนี้ถือเป็นตัวสามัญเหมือนกัน ต้องมีติดมือไว้

4.Kodak Color Plus 200 

ตัวนี้เหมาะกับมือใหม่มากๆ เพราะราคาถูกสุดในท้องตลาด และ ISO 200 ก็เหมาะกับถ่ายสภาพกลางๆ กลางวันก็ได้ เย็นก็ดี ถ่ายได้หมด โทนสีจะออกเหลืองนะ คุณภาพกลางๆ หรือความเข้มแสง จะน้อยหน่อย มันจะออกแนวญี่ปุ่นๆ ฟิล์มตัวนี้น่าจะเหมาะกับวัยรุ่นทั่วไป

ราคา 100-115 บาท

5.Kodak Ultramax 400

ตัวนี้เหมาะสำหรับถ่ายในที่ร่มๆมืดๆ เรารู้สึกว่ามันมีโทนสี น้ำเงินอมแดงปนๆ Grain ของมัน มัน Retro ดี นึกถึงสมัยเด็กๆ เห็นแล้วเหมือนดูหนังอะไรแบบนี้ เท่ๆดิบๆ เนื่องจากเนื้อฟิล์มมีความหยาบ ไวแสง ISO 400 เหมาะกับคนชอบถ่ายที่ร่มๆมืดๆอย่างที่บอกไปค่ะ

ราคา 180 – 190 บาท

เครดิตภาพ​ : flimdomlab, Digital2home

#โทนสีฟิล์ม #ฟิล์มถ่ายรูป #รีวิวของใช้

Categories
รีวิวของใช้

เครื่องบดกาแฟมือหมุน สิ่งสำคัญที่คนอยากดริปกาแฟควรเลือกซื้อ

ปัจจุบันนี้ผู้คนหันมาดื่มกาแฟดื่มกันเองมากยิ่งขึ้นเนื่องจากราคากาแฟสดตามร้านกาแฟทั้งหลายนั้นพุ่งขึ้นสูงเป็นอย่างมากจนทำให้การทำกาแฟเองตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนจบนั้นมีความคุ้มค่ามากยิ่งกว่าที่จะต้องไปเสียเงินหลักร้อยในแต่ละวันโดยใช่เหตุ นอกจากนี้การทำกาแฟดื่มเองตั้งแต่ขั้นตอนแรกนั้นยังช่วยสร้างความเพลิดเพลินให้กับคนที่ชื่นชอบกาแฟได้เป็นอย่างดีอีกด้วยดังนั้นสำหรับใครที่ชื่นชอบการดริปกาแฟดื่มเองวันนี้เราก็อยากจะมาแนะนำเครื่องบดกาแฟแบบมือหมุนให้ทุกคนได้ลองใช้ตามกัน เอาเครื่องบดกาแฟแบบมือหมุนนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะช่วยชี้ว่ารสชาติกาแฟที่ออกมานั้นจะดีมากน้อยแค่ไหนหากเครื่องบดกาแฟดีก็จะช่วยให้เราได้กาแฟตามที่ต้องการนั่นเอง

รวมเครื่องบดกาแฟมือหมุนที่แนะนำให้ทุกคนได้ลองใช้

  1. KALITA COFFEE MILL รุ่น KH-10 N เป็นเครื่องบดกาแฟแบบมือหมุนที่ค่อนข้างมีความมั่นคงแข็งแรงและมาพร้อมกับดีไซน์ที่มีความสวยงาม โดยมาในลักษณะของทรงกระบอกมีความโค้งเว้าให้เราได้จับอย่างสะดวกสบาย ตัวบรรจุเป็นไม้เช่นเดียวกับตัวที่ใช้หมุนส่วนโครงนั้นจะเป็นโลหะสีดำ วัสดุเฟืองบดเป็นเหล็ก สามารถบดได้อย่างแม่นยำและนิ่ง สามารถปรับระดับความละเอียดความหยาบได้ตามความต้องการ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,700 บาท 
  2. IBILI รุ่น 750710 ใครที่ชื่นชอบอุปกรณ์ทำกาแฟสไตล์วินเทจและขอแนะนำรุ่นนี้เลย มันเป็นเครื่องบดกาแฟมือหมุนจากสเปนที่สามารถปรับระดับความละเอียดอยากได้ตามความต้องการ ตัวเครื่องนั้นจะเป็นไม้ที่ช่วยให้กลิ่นของกาแฟหอมมากยิ่งขึ้น ก้านหมุนเป็นสแตนเลสที่มีความแข็งแรงทนทาน ราคาอยู่ที่ 1,900 บาท 
  3. BIALETTI MACINACAFFE คนที่ประสบปัญหาไม่รู้ว่าควรจะบดกาแฟประมาณไหนดีเราขอแนะนำรุ่นนี้เลยเพราะว่าตัวเครื่องด้านล่างจะช่วยบอกปริมาณของกาแฟที่เราจะต้องใช้ในการชงเครื่องดื่มว่า 1 แก้วต้องใช้บริการกาแฟบดเท่าไหร่ 3 แก้วหรือ 6 แก้วขึ้นไปต้องใช้เท่าไหร่ซึ่งสะดวกสบายเป็นอย่างมาก เฟืองเป็นเซรามิคที่สามารถปรับระดับได้อย่างง่ายดาย เครื่องเป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรงสูง สามารถเปิดเครื่องออกเพื่อใส่กาแฟได้โดยไม่ต้องถอด ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,800 บาท 

เลือกเครื่องบดกาแฟอย่างไรให้ตอบโจทย์การใช้งาน

หากคุณเป็นมือใหม่ที่กำลังต้องการจะหาซื้อเครื่องบดกาแฟมือหมุนวิธีการเลือกซื้อน้ำต้องพิจารณา 4 อย่างด้วยการประกอบไปด้วยวัสดุที่ใช้ซึ่งจะมีสแตนเลสซึ่งมีความแข็งแรงทนทานสูงและทันสมัยแต่น้ำหนักมาก เซรามิกที่มีความหรูหราสวยงามแต่แตกหักง่ายทำให้ต้องระมัดระวังมากขึ้น และสุดท้ายคือพลาสติกที่มีความแข็งแรงทนทานอายุการใช้งานจะไม่นานเท่า 2 วัสดุข้างต้น ต้องพิจารณาโถบรรจุว่าเพียงพอต่อการดื่มกาแฟในแต่ละวันหรือไม่ ขนาดตัวเครื่องเหมาะสำหรับการใช้งานของเราหรือเปล่า และราคามีความเหมาะสมหรือไม่ 

เครดิตภาพ : central.co.th/th

#รีวิวของใช้ #คนดื่มกาแฟ #การเลือกที่บดกาแฟ

Categories
รีวิวเครื่องสำอาง

รีวิว อายไลเนอร์ กันน้ำ กันเหงื่อ ติดทนนานตลอดทั้งวัน

เชื่อว่าการแต่งหน้ากลายเป็นกิจวัตรประจำวันของสาวๆกันไปแล้ว เพราะวันไหนที่ไม่ได้แต่งหน้าก็แทบไม่อยากจะพบเจอใครเลย แต่หลายคนก็มักจะพบปัญหาอายไลเนอร์ไม่สามารถให้ความติดทนนานได้ตลอดทั้งวัน จนทำให้ขาดความมั่นใจกันไปเลย ซึ่งวันนี้เรามีอายไลเนอร์ที่จะช่วยแก้ปัญหาง่ายๆมาฝากค่ะ ราคาถูก กันน้ำ และติดทนตลอดทั้งวันแน่นอน มียี่ห้อไหนบ้างไปดูกันเลย

1.Browit By Nongchat ราคา 149 บาทสำหรับแบรนด์นี้ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้แบรนด์อื่นๆเลยค่ะ มาในรูปแบบอายไลเนอร์หัวปากกา มี 2 หัวด้วยกัน ด้านหนึ่งหัวค่อนข้างใหญ่ และอีกด้านหัวจะเป็นอายไลเนอร์แบบหมุน เนื้อนิ่ม เขียนง่าย ติดทนนานตลอดทั้งวัน 

2.Line Tattoo High Impact Liner Black ราคา 179 บาท

อายไลเนอร์จากแบรนด์ดังอย่าง Maybelline หมดปัญหาเรื่องใต้ตาดำแน่นอน มาในรูปแบบหัวปากกาด้านเดียว เนื้ออายไลเนอร์สีดำเข้ม กันน้ำ กันเหงื่อ กันความมันได้เป็นอย่างดี กรีดง่าย ติดทนนาน เส้นคมชัด สามารถเติมระหว่างวันได้โดยที่ไม่ทำให้เลอะเป็นคราบ หายห่วงเรื่องใต้ตาดำไปเลยค่ะ เป็นอีกแบรนด์ที่แนะนำค่ะ 

3.Super Slim Auto Long Eyeliner Extreme Edition ราคา 175 บาทอายไลเนอร์ตอบโจทย์มือใหม่ค่ะ เขียนง่ายสุดๆ มาในรูปแบบหัวเรียวเล็ก บางเพียง 1.5 มิลลิเมตร เท่านั้น กันน้ำ กันเหงื่อได้เป็นอย่างดี เนื้อนุ่มเขียนลื่น เส้นคมชัด สาวหน้ามันก็รอดค่ะ สามารถใช้ได้หมดเลย 

4.Cosluxe Wanderlust Eyeliner ราคา 259 บาท

อายไลเนอร์ถนอมดวงตา เหมาะสำหรับสาวๆที่ใต้ตาคล้ำ และเหมาะกับมือใหม่มาก มาในรูปแบบหัวปากกาเรียว นุ่ม กรีดง่าย กันน้ำ กันเหงื่อ สีไม่เข้มจนเกินไป เพราะหากเข้มจนเกินไปอาจส่งผลเสียต่อดวงตาในระยะยาวได้ เป็นเนื้อเจลด้าน สีดำ เขียนง่ายมากๆค่ะ แนะนำเลย

ถูกใจแบรนด์ไหนกันบ้างเอ่ย สาวๆคงจะเห็นกันแล้วใช่ไหมคะว่าการเลือกอายไลเนอร์กันน้ำ กันเหงื่อ ติดทนตลอดทั้งวันนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ซึ่งมีหลายรูปแบบหลายแบรนด์ให้เลือกแตกต่างกันออกไป ใครชอบแบบไหนลองหาซื้อมาใช้กันดูนะคะ

เครดิตภาพ : Shopee 

#รีวิวเครื่องสำอาง #รีวิวของใช้ #รีวิวอายไลเนอร์

Categories
รีวิวของใช้

รีวิว หมอนยางพาราเพื่อสุขภาพ เลือกใช้ยี่ห้อไหนดี

เชื่อว่าหลายคนประสบปัญหาปวดหลัง ปวดคอ นอนไม่พอ ฯลฯ แต่วันนี้เรามีไอเทมดีๆมาแนะนำกันค่ะ นั่นก็คือ หมอนยางพาราเพื่อสุขภาพ ที่จะทำให้ทุกคน นอนหลับสบาย แถมป้องกันความเสี่ยงต่อโรคกระดูกเสื่อมนอกจากนี้ยังช่วยลดความตึงเครียดได้อีกด้วย เนื่องจากหมอนยางพาราออกแบบมาเพื่อร่างกายมนุษย์โดยเฉพาะทำให้เวลาเรานอน จะอยู่ในท่าที่ถูกต้อง ตรงนี้แหละค่ะ ที่จะช่วยให้หลับสบายตลอดคืน และความตึงเครียดก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย งั้นเราตามไปดูกันดีกว่าค่ะว่าแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ

1.VENTRY Preteen ราคา 1,600 บาทยี่ห้อนี้เค้ามีความพิเศษตรงที่ปรับระดับความสูง-ต่ำได้ รับรองเลยว่าหมดปัญหาคอเคล็ด ปวดคอ อย่างแน่นอน ด้วยความโค้งของรูปทรงหมอนทำให้รองรับสรีระของเราได้ดี มีรูระบายอากาศทั่วใบเลย หมดปัญหาอับชื้น 

2.LOTUS Neck Massage ราคา 4,200 บาท

หมอนหนุนยางพาราโลตัส เค้ามีความพิเศษตรงที่ผิวสัมผัสเป็นคลื่นๆ สามารถช่วยในเรื่องของการสลายแรงกดตามจุดต่างๆ ไม่อับชื่นเพราะมีการรองรับการหมุนเวียนอากาศได้ดี ด้วยการออกแบบรูปทรงที่มีความสูงต่ำพอดี ช่วยลดการกดทับ ทำให้คุณนอนหลับได้เต็มประสิทธิภาพ

3.SATIN Nature Contour ราคา 1,390 บาทหมอนยางพารารุ่นนี้ ผลิตจากนวัตกรรมพิเศษ เพราะเค้าใส่ใจตั้งแต่กระบวนการปลูกต้นยางเลยค่ะ ทำให้เป็นออกมามีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ความพิเศษของเค้าคือกระจายแรงกดทับได้อย่างดีจริงๆ แถมคืนตัวทันที 

4.LUNIO Latex Pillow ราคา 990 บาท

ใครที่กำลังปวดคออยู่นั้น แนะนำใบนี้เลยนะ เพราะเค้าออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระของเราโดยเฉพาะ  ตัวหมอนมีความทนทาน ไม่ยุบถ้าใช้ไปนานๆ ป้องกันไรฝุ่นได้เป็นดี คนที่เป็นภูมิแพ้นี้ไม่ต้องกังวลเลย ที่สำคัญมีปุ่มนวดเพื่อผ่อนคลายอีกด้วย

5.VERZA Latex ราคา 354 บาทความพิเศษของหมอนรุ่นนี้ก็คือ มีปุ่มนวดทั่วใบ ที่ช่วยนวดผ่อนคลายบริเวณศีรษะและต้นคอ ซึ่งเหมาะกับคนที่เป็นไมเกรนมากๆ เลยล่ะ แถมเค้ายังมีรูระบายอากาศ ทำให้ระหว่างนอนไม่เหม็นอับอย่างแน่นอน

6.SANTAS Air Flow Contour Pillow ราคา 2,550 บาท

ความพิเศษของตัวนี้คือมีความยืดหยุ่นเป็นพิเศษ รองรับคอและศีรษะได้เป็นอย่างดี แถมเค้ายังนำไปถอดซักทำความสะอาดได้ง่ายมากๆ ป้องกันแบคทีเรียอีกด้วย ล้ำเลิศสุดๆ!! แต่เพื่อสุขภาพแล้วราคาแรงขนาดนี้ บอกเลยว่า ยังไงก็คุ้ม!

เครดิตภาพ : Lazada, Shopee

#รีวิของใช้ #หมอนน่าใช้ #รีวิวหมอนยางพารา

Categories
รีวิวของใช้

6 กระเป๋าแบรนด์เนมทรงขนมจีบ ที่แมทซ์เข้ากับทุกลุค

Bucket Bag เป็นกระเป๋าที่สาว ๆ ในประเทศไทยบ้านเราจะเรียกกันติดปากว่า ทรงขนมจีบ แต่ความจริงแล้วชื่อจริง ๆ ของมันแปลว่า ถัง มีลักษณะเด่นตรงก้นกระเป๋ากว้าง จุของได้เยอะ และมีหูรูดบริเวณด้านบน ปากกระเป๋าสามารถย่นเข้าหากันได้ เป็นอีกดีไซน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะมีความแตกต่างจากทรงเหลี่ยมทั่ว ๆ ไป บวกกับนำมาแมทช์เข้ากับการแต่งตัวได้ทุกสไตล์ให้ดูดี ดูเก๋ มีกระเป๋าแบรนด์เนมทรงขนมจีบรุ่นไหนบ้าง ที่ต้องเก็บมาเป็นเจ้าของตามไปดูกัน

Bucket Bag สวยยั่ว ๆ จาก 6 แบรนด์ดังระดับโลก

                  1. Louis Vuitton NéoNoé ด้วยลายโมโนแกรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผลิตมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 ตัวกระเป๋าใช้ผ้าใบ โดดเด่นด้วยรูปทรงที่เพรียวบ้าง มาพร้อมกับสายเชือกหนังสีสันสดใส และซับในที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ตัวสายสามารถปรับระดับได้ทั้งแบบ Cross Body และ Tote Bag สะพายแล้วสวยเก๋ เข้าได้กับทุกสไตล์การแต่งตัว

                  2. Prada Saffiano Leather Backet Bag อีกหนึ่งรุ่นกระเป๋าแบรนด์เนมทรงขนมจีบสุดคลาสสิก วัสดุหนัง Saffiano ส่วนสายสามารถปรับและถอดออกได้ หรูหราด้วยดีเทลการตกแต่งใช้ห่วงโลหะสีทอง รวมถึงโลโก้ของแบรนด์ ทำให้ดูเรียบหรู นำไปใช้ได้ทุกโอกาสไม่มีตกรุ่นอย่างแน่นอน

3. Fendi Mon Tresor กระเป๋ารุ่นนี้ได้รับการยอมรับจากสาว ๆ ทั่วโลกว่า สวยคลาสสิกสุด ๆ ด้วยการใช้โทนสีน้ำตาลตามแบบฉบับของแบรนด์ วัสดุทำมาจากหนังวัวแท้ สายเชือกหนังสำหรับผูก ปิด-เปิด ตกแต่งให้ดูหรูด้วยโลหะเคลือบทอง สามารถนำไปแมทช์เข้าได้กับทุกลุค นับว่าเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมทรงขนมจีบที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก

4. Balenciaga Navy Bucket นับเป็นรุ่นท็อปของแบรนด์เลยก็ว่าได้ เพราะขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไปทั่วโลก ตัวกระเป๋าทำมาจากผ้าใบคอตตอน และหนังวัวแท้ ตัวสายตกแต่งอย่างสวยงามด้วยโลหะแบบ Palladium ปรับระดับให้เป็น Cross Body ได้อีกด้วย 

                  5. Gucci Ophidia GG Bucket Bag กระเป๋าบักเก็ตลวดลายโมโนแกรม ใช้โทนสีเบจตามสไตล์ของแบรนด์ ผลิตมาจากวัสดุเกรดพรีเมียม GG Supreme Canvas ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยโทนสีน้ำตาล นอกจากนี้ยังมีมีลายแถบแดง-เขียว ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ที่ให้ความโดดเด่นสะดุดตาไม่เหมือนใคร 

6. Chanel Large Drawstring Bag แบรนด์นี้ต้องยกให้ในเรื่องของดีไซน์ที่ให้ความเรียบหรู ยิ่งดูยิ่งสวย คลาสสิกระดับตำนานตามแบบฉบับของชาแนลได้อย่างครบถ้วน พื้นผิวกระเป๋าใช้วัสดุคุณภาพเยี่ยมจากหนังลูกวัวมาตัดเย็บให้เป็นลายตาราง ตัวสายผสมผสานเข้ากับโลหะทอง ประดับด้วยอักษร CC ไขว้ เป็นอีกหนึ่งรุ่นในดวงใจของสาว ๆ แทบทุกคนที่เห็นแล้วอยากจับจองเป็นเจ้าของเอาไว้ใช้งานสักใบ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับกระเป๋าแบรนด์เนมทรงขนมจีบที่ได้นำมาฝากกัน หากใครที่กำลังมองหากระเป๋าดี ๆ ดีไซน์สวย ๆ มีความทนทาน เก็บไว้ใช้ได้อย่างยาวนาน รูปทรงคลาสสิกมีไว้ไม่ตกเทรนด์แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ลองไปเลือกซื้อหามาใช้กันได้ เพราะนอกจากจะใส่ของได้เยอะแล้ว ยังสะพายเข้ากับทุกลุคทุกสไตล์การแต่งตัวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

เครดิตภาพ : ladyissue.com / topbestbrand.com / pinterest.com

#กระเป๋าทรงจีบ #แฟชั่นความงาม #รีวิวของใช้

Categories
รีวิวเครื่องสำอาง

รีวิว นำ้หอมกลิ่นแป้งเด็ก สดใส สุดคิวท์

น้ำหอมกลิ่นแป้งเด็กก็เป็นอีกกลิ่นที่กำลังเป็นที่นิยมเลยที่เดียว เพราะให้ความรู้สึกที่สดใส สะอาด สดชื่น น่าทะนุถนอม แถมยังให้ความรู้สึกถึงช่วงวัยเด็กอีกด้วย นอกจากนี้น้ำหอมกลิ่นแป้งเด็กยังขึ้นชื่อเรื่องความหอมที่ เบาสบายจึงเหมาะสำหรับคนที่เริ่มซื้อน้ำหอมมาใช้ เพราะให้กลิ่นที่บางเบาที่สุด ซึ่งก็มีหลากหลายแบรนด์ที่ได้ทำนำ้หอมกลิ่นนี้ออกมา แต่ก็จะมีความแตกต่างกันออกไป จะมีแบรนด์ไหนน่าสนใจบ้างตามไปดูกัน

1.KENZO FLOWER ราคา 3,220 บาท

Kenzo เป็นแบรนด์น้ำหอมมีผู้ใช้หลายคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันมีกลิ่นที่หอมละมุน เหมือนแป้งเด็ก”มีกลิ่นที่ไม่ฉุนจนเกินไปด้วย ในด้านของความติดทนนาน อยู่ได้ถึง 4-5 ชั่วโมงเลย สามารถฉีดได้ในวันที่มีอากาศร้อน เพราะให้ฟีลที่บางเบา สบายๆ ไม่หนักเกินไป

2.BVLGARI PETITS ET MAMANS ราคา 2,700 บาท

เป็นน้ำหอมที่ปราศจากแอลกอฮอล์ ให้กลิ่นหอมแนวดอกไม้อโรมา มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย ด้วยกลิ่นส้มซิสิเลียน ดอกคาโมไมล์และดอกกุหลาบและอื่นๆ จนลงตัวกลายเป็นกลิ่นแป้งหอมละมุนอ่อนๆ 

ปริมาณ 100 ml

3.BSC NOOK MUSK OIL ราคา 295 บาท

สำหรับตัวนี้เป็นนำ้หอมแบบออยล์ค่ะ ให้กลิ่นที่หอมละมุน แป้งๆ ผสมกับดอกไม้หอมๆ กลิ่นมันหอมละมุน อ่อนๆ ไม่ฉุนมากเกินไป และยังให้กลิ่นที่ติดทนนานอีกด้วยนะ วิธีใช้คือ ใช้หยดลงบนนิ้วแล้วแต้มตามจุดๆ ข้อพับ หรือบริเวณหลังใบหู

4.ZARA BABY BOY PERFUME ราคา 300 บาท

น้ำหอมกลิ่นแป้งเด็ก จากแบรนด์ดังอย่าง ZARA เป็นกลิ่นแบบหอมอ่อนๆ ละมุน ไม่ฉุน มาพร้อมกับแพ็กเกจจิงที่น่ารักมากๆ บ่งบอกได้ถึงความเป็นเด็กมากขึ้นไปอีก ให้ความติดทนที่ยาวนาน เพราะความเข้มข้นจากหัวน้ำหอมของแบรนด์ ZARA ที่มีมาให้ถึง 7-15% ที่สำคัญคือราคาไม่แพงเลย

ปริมาณ 60 ml

5.ETUDE HOUSE PETIT BIJOU : BABY BUBBLE ALLOVER SPRAY ราคา 310 บาท

เป็นไอเทมที่ว่าจะเป็นน้ำหอมเลยก็ไม่ใช่ เพราะมาในรูปแบบของสเปรย์ ความดีงามของเจ้าสเปรย์ตัวนี้ก็คือ กลิ่นที่หอมสดชื่น มีความคล้ายคลึงแป้งเด็กแคร์สีฟ้า มีกลิ่นหอมบางๆ ด้วยความที่เป็นสเปรย์ทำให้เวลาฉีดแล้วจะหมดไวมากๆ เลย แต่ข้อดีก็คือสามารถฉีดใส่ได้ทุกอย่าง เสื้อผ้า ห้องนอน เพราะกลิ่นไม่ฉุน ในราคาเท่านี้ถือว่าคุ้มมากๆ

เครดิตภาพ : Shopee,Lazada

#น้ำหอมกลิ่นแป้งเด็ก #รีวิวเครื่องสำอาง #รีวิวน้ำหอม

Categories
รีวิวเครื่องสำอาง

โทนเนอร์ตัวเด็ดตัวดัง จบทุกปัญหาผิว สิวหายเกลี้ยง!

เชื่อว่าการแต่งหน้าเป็นกิจวัตรประจำวันที่สาวๆทุกคนเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนว่าการแต่งหน้าบ่อยๆอาจทำให้เกิดสิวหรือปัญหาต่างๆตามมาได้ ดังนั้นก่อนแต่งหน้าเราต้องมีการบำรุงที่ดี โดยเฉพาะโทนเนอร์ ที่จะช่วยบำรุงและปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื่น หากไม่ใช้โทนเนอร์ก่อนแต่งหน้าอาจทำให้เครื่องสำอางไม่ติดทนได้ค่ะ วันนี้เราจึงมีโทนเนอร์ตัวเด็ดตัวดังมาแนะนำ รับรองว่าถูกใจสาวๆกันย่างแน่นอน 

1.Kiehl’s Calendula Herbal Extract Alcohol-free Toner ราคา 900 บาท

เรียกว่ากำลังมาแรงมากค่ะสำหรับโทนเนอร์จาก Kiehl’s ตัวนี้ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิงแห้ง หรือผิวผสม ด้วยสารสกัดเข้มข้นจากดอกดาวเรือง ช่วยบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใส ช่วยปลอบประโลมผิวที่ระคายเคือง ไม่มีแอลกอฮอล์ แถมยังได้รับความนิยมสูงสุดอีกด้วย

ภาพจาก : Shopee 

2.Thayers Alcohol-Free Lavender Witch Hazel Toner ราคา 599 บาท

โทนเนอร์ตัวเด็ดตัวดังที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยสารสจากธรรมชาติแท้ๆ ที่ช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพดี ลดการระคายเคือง ช่วยบรรเทารอยแดงรอยดำที่เกิดจากสิว แต่ยังคงความชุ่มชื่น นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินที่เป็นสาเหตุการเกิดสิวอีกด้วย

3.SMOOTH E ACNE CLEAR WHITENING TONER ราคา 295 บาท

โทนเนอร์ที่ตอบโจมย์คนเป็นสิว เหมาะสำหรับคนเป็นสิวโดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและช่วยปลอบประโลมผิวได้ดีมาก แถมยังจัดการกับความมันส่วนเกินได้เป็นอย่างดี ช่วยลดเลือนรอยแดง แม้ผิวไหม้จากแสงแดดก็สามารถช่วยได้ ผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้ ราคาถูกแต่คุณภาพล้นจริงๆค่ะ แนะนำเลย 

4.Neutrogena Alcohol-Free Toner ราคา 159 บาท

สำหรับโทนเนอร์ตัวนี้บอกได้เลยว่าสามารถปรับสภาพผิวและกำจัดสิ่งสกปรกได้เป็นอย่างดี ปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ทำให้ผิวแห้งแน่นอน กลิ่นหอมสดชื่นจากน้ำหอม ใครแพ้น้ำหอมไม่แนะนำตัวนี้นะคะ เหมาะกับทุกสภาพผิวเลย ผิวบอบบางก็สามารถใช้ได้ แถมยังไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน อ่อนโยนสุดๆ 

5.Clean & Clear Essentials Oil Control Toner ราคา 89 บาท

แม้ว่าราคาจะถูกแต่คุณภาพเกินราคาแน่นอนค่ะสำหรับโทนเนอร์ตัวนี้ เรียกว่าเป็นโทนเนอร์ขวัญใจวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ ช่วยทำความสะอาดใบหน้าได้เป็นอย่างดี และกำจัดสิวเสี้ยนได้ดีมาก ไม่มีน้ำมัน แต่มีแอลกอฮอล์นะคะ ใครแพ้ไม่แนะนำค่ะ มาในราคาย่อมเยาสุดๆวัยรุ่นจับต้องได้ ลองใช้แล้วมารีวิวบอกต่อกันด้วยนะคะ 

นี่ก็เป็นโทนเนอร์ตัวเด็ดตัวดังที่เราคัดสรรมาให้ทุกคนโดยเฉพาะ มีหลากหลายยี่ห้อหลากหลายราคาให้เลือกเลย เลือกตัวที่เหมาะกับผิวหน้าตัวเองนะคะ ใครใช้แล้วก็อย่าลืมมารีวิวบอกต่อเพื่อนๆคนอื่นๆด้วยนะ 

เครดิตภาพ : Konvy

#รีวิวของใช้ #รีวิวเครื่องสำอาง #รีวิวโทนเนอร์

Categories
รีวิวของใช้

รีวิว แฮนด์ครีม กู้มือพังให้กลับมานุ่มไม่แห้งเหี่ยว

ช่วงนี้คงไม่มีใครที่ไม่ล้างมือไม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้างด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือล้างด้วยสบู่ล้างมือก็ตาม เพราะมันเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันเชื้อไวรัส แต่การล้างมือบ่อยๆมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียของมันคือทำให้มือของเราแห้งกร้าน และลอกนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องอย่าลืมหาครีมมาบำรุงมือของเราให้มีผิวสัมผัสที่นุ่มไม่ลอกด้วยนะคะ วันนี้เราเลยรวบรวมครีมทามือ กู้มือพังมาฝากทุกคนค่า จะมีตัวไหนปังบ้าง ไปดูกัน

1.VASELINE Intensive Care Sanitizing Hand Cream ราคา 65 บาท

แฮนด์ครีมสุดคุ้มค่าจาก Vaseline ที่เน้นการบำรุงแบบล้ำลึก เป็นแฮนด์ ครีม พร้อมสารอาหารบำรุงผิวที่จำเป็น 5 ชนิด เพื่อช่วยให้มือเนียนนุ่มพร้อมลดการสะสมของแบคทีเรีย ปกป้องและบำรุงในหนึ่งเดียว

2.Soap & Glory Hand Food ราคา 150 บาท

แฮนด์ครีมตัวนี้มีส่วนผสมของเชียร์บัตเตอร์ น้ำมันแมคคาเดเมีย และมาร์ชเมลโล่ว์ ให้กลิ่นหอมอ่อนๆแต่ติดทนนาน ใช้แล้วทำให้มือชุ่มชื้น เนียนนุ่มอย่างเห็นได้ชัด แต่เวลาทาแล้วซึมซาบสู่ผิวได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ 

ปริมาณ : 50 ml

3.Atrix Beauty Charge Hand Cream ราคา 270 บาท

แฮนด์ครีมขายดีที่สุดขวัญใจสาวๆ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีส่วนผสมของ น้ำผึ้ง Collagen, Vitamin C, Ginseng Extract ช่วยบำรุงให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น รวมทั้งกระจ่างใสขึ้นด้วยวิตามินซี เนื้อไม่เหนียวเหนอะหนะ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ 

4.Burt’s Bees Honey & Grapeseed Hand Cream ราคา 700 บาท

แบรนด์อเมริกันที่เน้นจุดขายในเรื่องของการเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แฮนด์ครีมรุ่นนี้มีส่วนประกอบหลักคือ น้ำผึ้ง กับ Grapeseed Oil และสารพัดน้ำมันที่ล้วนแล้วแต่สกัดมาจากพืช ช่วยให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างเต็มที่แต่ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ ใช้แล้วผิวเนียนนุ่มคุ้มราคาจริงๆ ค่ะ

ปริมาณ : 73.3

5.Chupa Chups Hand & Nail Cream ราคา 139 บาท

แฮนด์ครีมรุ่นใหม่ขวัญใจสาวๆ ด้วยส่วนผสมของ Hyaluronic Acid ช่วยคืนความชุ่มชื่นให้กับผิว บำรุงผิวให้เนียนนุ่ม และ Coenzyme Q10 ที่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ร่วมด้วย Glutathione และ Vitamin C มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์และช่วยปรับสภาพสีผิวให้แลดูกระจ่างใสขึ้น ปิดท้ายด้วย Shea Butter ปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน ถนอมมือสวยให้นุ่มนวล น่าสัมผัส

เครดิตภาพ : thewmtd, Shopee 

#รีวิวของใช้ #แฮนด์ครีมน่าใช้#รีวิวของใช้

Categories
รีวิวเครื่องสำอาง

Falete เจลแต้มรอยดำ รับประกันผิวใสใน 1 เดือน

ความเรียบเนียนของใบหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่บรรดาสาวๆทั่วโลกต่างใส่ใจ แต่การจะมีใบหน้าที่เรียบเนียนขาวใสปราศจากจุดด่างดำหรือรอยสิวนั้นเป็นเรื่องยาก ในรีวิวนี้ผู้เขียนจึงขอนำเสนอไอเท็มเด็ดที่จะทำให้ปัญหากวนใจเหล่านี้หมดไปอย่าง Falete ati-melasma ครีมทาฝ้าลดรอยสิว

รีวิวหลังใช้ Falete ati-melasma

สำหรับใครที่มีรอยดำ รอยฝ้า ตามบริเวณต่างๆของร่างกายและผิวหน้า ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก คุณไม่ต้องเสียเวลาไปลงเงินกับครีมทาแผลเป็นราคาแพงหรือการยิงเลเซอร์แบบเจ็บๆ รวมถึงการขัดผิวที่ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลอีกต่อไป เมื่อคุณมี Falete ati-melasma ซึ่งรับประกันแล้วว่า จะช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณกลับมาขาวกระจ่างใสไร้ฝ้าไร้รอยดำได้ภายใน 1 เดือน โดยจากที่ผู้เขียนได้ทดลองใช้แล้วพบว่า เห็นผลจริงสมคำโฆษณา รอยดำรอยฝ้าลดลงจริง แต่ยังไม่ถึงขั้นหายไปแบบไม่ทิ้งคราบ ยังเห็นจางๆเท่านั้น ถ้าไม่สังเกตจริงๆหรือแต่งหน้ากลบจะมองไม่เห็นเลย ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ทำออกมาได้ดีงามดูแพงสมราคาเกือบ 200 บาท เป็นหลอดพลาสติกซิลิโคนสีขาว มีความยืดหยุ่นตกไม่แตก บีบใช้ง่าย ปากหลอดจะเป็นปลายยาวแหลมสำหรับบีบตัวครีมใส่ได้ตรงจุด มีฝาเกรียวสีเงินสวยงาม เปิด-ปิดใช้งานง่าย สามารถตั้งไว้บนโต๊ะได้ด้วยหรือจะพกพาติดกระเป๋าก็ได้เช่นกัน ในด้านของเนื้อสัมผัสตัวยานั้น จะเป็นเนื้อครีมเจลสีขาวขุ่น เกลี่ยง่าย ซึมซาบเข้าผิวไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ แต่ในส่วนของเนื้อครีมมีสรรพคุณเข้มข้นซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวลดเลือนรอยดำได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่เหมาะแก่การใช้งานอย่างอื่นนอกจากแต้มรอยดำ เช่น การทาเพื่อบำรุงผิวหน้าหรือการใช้แต้มสิวสุก เพราะนอกจากใช้ไปสิวไม่ยุบ อาจเกิดการอักแสบได้อีกต่างหาก และหากใช้บำรุงผิวหน้าก็แรงเกินไป เพราะตัวยามีความเข้มข้นสูง แม้จะเป็นสูตรอ่อนโยนก็ตาม ดังนั้นจึงควรใช้งานให้ถูกวิธีและเหมาะสม ไม่ควรบีบใช้เยอะเกินไป แต้มแค่บางๆให้เคลือบบริเวณรอยดำก็เพียงพอแล้ว ในส่วนของความถี่ในการใช้งานนั้น ตามฉลากแนะนำว่า ควรทา 2 เวลา เช้า-เย็น เป็นประจำทุกวัน หากมากกว่านี้ เกรงว่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ ในส่วนของกลิ่นนั้นคล้ายกับกลิ่นครีมกันแดดของ Nivea ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะชอบไหม แต่ด้วยความที่เราแต้มเพียงเล็กน้อยและเนื้อครีมซึมเข้าผิวไวจึงแทบไม่มีโอกาสได้กลิ่นเลย 

เรื่องความคุ้มค่า 12 กรัมใช้ได้หลายเดือน ราคาตกอยู่ที่ประมาณเกือบ 200 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว เพราะเห็นผลจริง รอยดำรอยสิวจางอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสำหรับใครที่สนใจ Falete ati-melasma  สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ

#Falete เจลแต้มรอยดำ #รีวิวเครื่องสำอาง #รีวิวของใช้