Categories
รีวิวของกิน

9 เบียร์นอก ที่รสชาติดี ลื่นคอที่สุด

คอเบียร์ส่วนใหญ่ชื่นชอบการได้ลิ้มลองรสชาติของเบียร์ใหม่ ๆ จากหลาย ๆ ประเทศ เหมือนกับการได้เก็บประสบการณ์ของตัวเอง ทั้งนี้ขอแนะนำว่าควรดื่มแต่พอดี ไม่ควรมากจนเกินไป จากที่มีความสุข อาจจะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมาได้ จึงขอเอาใจคอเบียร์ด้วย 9 เบียร์นอก ที่รสชาติดี ดื่มแล้วลื่นคอ ตามมาชิมไปพร้อม ๆ กัน

9 เบียร์จากต่างประเทศ รสชาติดี

                  1. Beer Lao เริ่มต้นด้วยเบียร์บ้านใกล้เรือนเคียง ที่บอกได้เลยว่า ดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น อร่อย และมีราคาย่อมเยา ซึ่งได้รับการันตีจากนักดื่มว่าเป็นเบียร์ที่มีความแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ บ้านเราด้วย ไม่เพียงแค่รสชาติที่เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหล วัฒนธรรม และจิตใจของผู้คนที่มีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ทุกคนต่างหลงรักได้ไม่ยาก

                  2. BREWDOG 5 A.M. SAINT เป็นเบียร์ที่ให้ภาพลักษณ์แบบไม่แคร์สังคม สื่อต่าง ๆ เป็นตัวแทนของคนหัวใจ PUNK ที่ต้องการออกจากกรอบเดิม ๆ นอกจะมีสไตล์แรง ๆ แล้ว ตัวเบียร์ยังคงแรงเช่นกัน โดยเฉพาะรุ่น The End of History ที่มีดีกรีสูงถึง 55 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เป็นเบียร์ที่รสชาติฝาดลิ้น แต่กลับละมุน รสชาติดี ลื่นคอ เหมาะกับการยกดื่มในช่วงบ่ายในสวนอย่างชิล ๆ

                  3. 8 WIRED HOPWIRED IPA เบียร์นอกสัญชาตินิวซีแลนด์ ซึ่งกำลังสร้างความประทับใจให้กับคอเบียร์ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศแต่ไปไกลถึงทั่วโลก เพราะรสชาติที่ผลิตออกมานั้นต้องบอกเลยว่าสุดยอดมาก ซ่อนกลิ่นของส้ม องุ่น เสาวรส เอาไว้ แต่ยังคงโดดเด่นด้วยดอกฮอปที่ทำให้ไม่เสียรสชาติ นับเป็นเบียร์ที่ท้าทายนักดื่มทั้งหลายให้ไปลิ้มลอง

                  4. AVENTINUS จุดหมายปลายทาง และสวรรค์ของนักดื่มเบียร์ต้องประเทศเยอรมัน ที่มีสารพัดเบียร์ให้เลือกดื่ม โดยเฉพาะยี่ห้อนี้ที่รสชาติเลอเลิศ ที่ยากจะหาแบรนด์ไหนมาเปรียบเทียบได้ จนคอเบียร์จากทั่วโลก ยกให้เป็นเบียร์ที่มีความอร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งค่อย ๆ จิบไปพร้อมกับไส้กรอกแบบเยอรมันแล้วละก็จะรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก

                  5. BOHEMIA รสนิยมการดื่มเบียร์ของดินแดนบราซิล คือต้องมีราคาถูก และขวดมีขนาดใหญ่ ที่สำคัญต้องแช่จนเย็นฉ่ำ ส่วนรสชาติไม่ค่อยจะนำมาคิดมากสักเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเบียร์รสชาติดี เพราะยี่ห้อนี้บอกได้เลยว่าเป็นตำนานแห่งเมืองแซมบ้า เพราะเป็นแบรนด์แรก ๆ ของที่นี่ นักดื่มจะได้ลิ้มรสชาติในระบบตำนานเลยทีเดียว

6. CHIMAY เบียร์สัญชาติเบลเยี่ยม ที่เรามักจะนึกถึงอันดับแรกคือ Hoegaarden หรือ Leffe แต่แบรนด์นี้ถือว่านักดื่มจะพลาดไม่ได้ เพราะเป็นเบียร์ที่หมัก และบ่มจากศรัทธาที่มีความแน่วแน่ของบาทหลวงจากโบสถ์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ที่ให้รสชาติแรงผสานความนุ่มลึก กลายเป็น 1 ใน 7 เบียร์ของโลกที่ต้องลิ้มลองให้ได้

                  7. KRUSOVICE แม้ว่าในโซนยุโรป คอเบียร์จะยกนิ้วให้เยอรมัน และเบลเยี่ยม แต่ความจริงแล้วเบียร์จากสาธารณรัฐเช็ค ก็เป็นดินแดนแห่งเบียร์เช่นกัน ซึ่งอุดมด้วยเบียร์ระดับพรีเมียมมากมาย และแบรนด์นี้ก็ได้รับการยอมรับ และเป็นเบียร์รสโปรดของจักรพรรดิ RUDOLF ที่ 2 เลยที่เดียว ด้วยรสชาติที่อร่อยคม ลื่นนละมุนลิ้น อร่อยจนแทบจะวางไม่ลง

                  8. GUINNESS คอเบียร์จะรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่จะมีความสุขไปกว่าการที่ได้ดื่มเบียร์ดำไปพร้อมกับเสียงของไวโอลิน โดยมีเพื่อนที่รู้ใจนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสอีกแล้ว เบียร์สัญชาติไอร์แลนด์แบรนด์นี้ถือเป็นต้นกำเนิดเบียร์ดำแห่งหนึ่งของโลก ที่มีรสชาตินุ่ม หอม หวาน อร่อย อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

9. HITACHINO Nest Espresso Stout เบียร์ที่ผสมผสานเทคนิคการผลิตในแบบโบราณจากยุโรป กับสไตล์ญี่ปุ่น ที่ใช้ถังหมักแบบเดียวกันกับเหล้า SHOCHU ดังนั้นจึงเป็นเบียร์ดำที่มีรสชาติเยี่ยม ยิ่งได้ดื่มเบา ๆ หลังอาหารเย็นจะรู้สึกสดชื่นอย่างที่สุด

ดื่มเบียร์ให้อร่อยต้องทำอย่างไร

              วิธีดื่มเบียร์ให้ได้รสชาติ อย่างแรกคือต้องชิลล์แก้วให้เย็นและมีอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับเบียร์ก่อนเพื่อไม่ให้มีผลกับรสชาติของเบียร์ไม่เสียไป การรินเบียร์ให้เกิดฟองหนาประมาณ 1-2 ข้อนิ้ว ก็จะทำให้ท้องไม่อืดและได้กลิ่น และรสสมผัสของเบียร์ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย หากอยากดื่มเบียร์นอกแบบโปรจะมีอยู่ 5 แบบ ได้แก่ Appearance โดยจะดูที่ลักษณะทั้งสี และความละเอียดของฟอง รวมถึงบอดี้ Aroma ใช้การดมกลิ่น และวนแก้วเพียงเล็กน้อย ยื่นจมูกเข้าไปรับกลิ่นยีสต์ ฮ็อปส์ และมอลต์อย่างเต็มที่ Taste เป็นการลิ้มลองรสชาติว่าเป็นอย่างไร เปรี้ยว ขม หวาน เป็นต้น Mouthfeel การรับรสว่าบอดี้ของเบียร์มีความเบาบางหรือหนาแน่น ซ่ามากหรือน้อย และ Aftertaste หลังจากลืนลงคอแล้ว มีรสชาติอยู่ในปากอย่างไร โดยมุ่งความรู้สึกไปที่ปลายลิ้น เพียงเท่านี้ก็จะได้รสชาติอย่างแท้จริงของเบียร์แต่ละยี่ห้อแล้ว

              ทั้งที่ได้แนะนำไปเป็นเพียงบางส่วนของเบียร์นอกที่มีรสชาติดี ลื่นคอ มีความนุ่มละมุนลิ้น อร่อยที่คอเบียร์ทั่วโลกต้องยกนิ้วให้ ยังมีเบียร์อีกหลายแบรนด์ให้เลือกที่มีรสชาติแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสไตล์ของแต่ละคนว่าชื่นชอบแบบไหน ไปเลือกดื่มกันตามใจได้เลย

เครดิตภาพ : twitter.com / today.line.me / hungryfatguy.com

YouTube :

20 อันดับ เบียร์ ดีที่สุดในโลก

รีวิวเบียร์ ( Beer Review ) Hoegaarden

#เบียร์นอกรสชาติดี #วิธีดื่มเบียร์ให้ได้รสชาติ #รีวิวเบียร์ต่างประเทศ

Categories
รีวิวของกิน

รีวิวนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่า

            ไหน ๆ ก็เข้าสู่ช่วงซัมเมอร์แล้วแบบนี้เหมาะมากเลยกับการที่จะบินไปเที่ยวญี่ปุ่นซึ่งฤดูนี้สวยมาก อ้าวเพิ่งมานึกได้ว่า…Covid – 19 ยังไม่หายไป โฮ ๆ งั้นอยู่ในห้องแอร์สบาย ๆ ในบ้านตัวเองแทนการไปญี่ปุ่นก็ได้ แต่ใด ๆ ก็ตาม เรายังดื่มนมกล้วยแท้ ๆ ของญี่ปุ่น! เห็นคนไทยที่อาศัยอยู่ญี่ปุ่นมักโพสต์รูปตัวเองดื่มนมกล้วย อันเป็นเครื่องดื่มนมสุดฮิตประจำแดนอาทิตย์อุทัยแล้ว เราก็แทบอยากกลั้นใจเลย อยากดื่ม ๆ ๆ สายกินเที่ยวญี่ปุ่นก็คงเป็นเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ ไปญี่ปุ่นไม่ได้ อยากกินของญี่ปุ่นก็ต้องไปตาม 7 – 11 หรือร้านของฝากเอา เอ๊ะ! 7-11 ใช่แล้ว ได้ยินว่าตอนนี้มีนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่าที่เพิ่งออกวางขายใหม่เข้า 7-11แล้วนี่ ถ้างั้นจะรอช้าอยู่ทำไม รีบออกไปซื้อด่วน ๆ เป็นยังไงเดี๋ยวกลับมารีวิวนะทุกคน (อ้าว!)

            ชะแว้บ! เรากลับมาแล้วทุกคนและเราก็ได้ดื่มนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่ามาตั้งแต่หน้า 7-11แล้วด้วย มา ๆ เราจะรีวิวให้ทุกคนได้รู้กัน

ลักษณะผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่า

            นมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่าจะมีลักษณะของผลิตภัณฑ์บรรจุนมแบบกล่องที่มีขนาดกว้างและส่วนบนของกล่องจะเป็นแบบเฉียงสูงขึ้นเพื่อให้สามารถถือหรือหิ้วได้อย่างสะดวกตามแต่ที่เราจะถนัด ในปริมาตรสุทธิ 200 มิลลิลิตร วิธีเจาะหลอดก็ไม่ยากเพียงแค่ลอกกระดาษบริเวณหัวลูกศรสีดำขึ้นและเจาะหลอดเข้าไปก็จะเข้ารูพร้อมดื่มแล้ว รู้สึกประทับใจกับผลิตภัณฑ์มาก หากเนนมกลิ่นที่ผ่าน ๆ มาก็คงจะไม่รู้สึกอะไร แต่นี่คือกลิ่นโตเกียวบานาน่า ที่ญี่ปุ่นก็ทำกล่องผลิตภัณฑ์นมกล้วยแบบนี้เช่นกัน มันทำให้ฟินเหมือนได้จับกล่องนมโตเกียวบานาน่าของแท้ในญี่ปุ่นเลย แถมราคาก็แค่ 15 บาทเอง เอิ่ม…ดูเราคิดถึงแดนอาทิตย์อุทัยมากไปหน่อย แหะ ๆ

ส่วนผสมและการให้พลังงานของนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่า

            นมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่ามีส่วนผสมของน้ำนมโคคืนรูป 40% ,น้ำตาล 4.0% และกลิ่นโตเกียวบานาน่าหรือกลิ่นกล้วย 0.13% รวมไปถึงพวกวัตถุเจือปนอาหารและการให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อสุขภาพเล็กน้อย

            ด้านการให้พลังงานทางโภชนาการต่อหนึ่งในบริโภคสำหรับนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่าจะอยู่ที่ 140 กิโลแคลอรี่ และพลังงานจากไขมันอยู่ที่ 50 กิโลแคลอรี่

รสชาติของนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่า

            มาพูดถึงเรื่องของรสชาติกันบ้างนะคะ ส่วนตัวหลังจากที่เราดื่มนมโฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่าไปแล้วรู้สึกว่ารสชาติก็เหมือนนมกล้วยทั่วไปที่ใส่ไซรัปให้มีกลิ่น แต่ความพิเศษที่แตกต่างออกไปมันอยู่ตรงปลายลิ้นนี่ล่ะ หากคุณลองลิ้มรสดี ๆ จะพบว่ามีรสชาติและกลิ่นหอมนวล ๆ เหมือนเนยบัตเตอร์ผสมอยู่ทำให้รู้สึกชอบมาก เหมือนนมกล้วยที่ญี่ปุ่นจริง ๆ ด้วยพวกเธอ! แถมระดับความหวานก็อยู่ช่วงน้อยจนถึงพอดี นมจึงมีความกลมกล่อม ให้คะแนน 8 /10 เลยสำหรับนมกลิ่นนี้

วิดีโอเพิ่มเติม :

#โฟร์โมสต์ กลิ่นโตเกียวบานาน่า #รีวิวนมโฟร์โมสต์ #รีวิวของกิน 7-11

Categories
รีวิวของกิน

10 เมนูอาหาร สิ่งของ ยอดนิยมในเซเว่น ที่น่าสนใจ

7-eleven ถือเป็นแหล่งขายสินค้าต่างๆมากมายที่เข้ามารวมกันเก็บกันอยู่ในนี้ เซเว่นอีเลฟเว่น ถ้ามีสิ่งของหรืออะไรต่างๆมากมายที่เข้ามาขายอย่างเช่น

พวกวัตถุดิบอาหารต่างๆ อาหารแห้งผลไม้ ขนมกรุบกรอบต่างๆรวมไปถึงน้ำต่างๆ และสกินแคร์ ที่ใช้ในการบำรุงผิวหน้าร่วมไปถึง accessories ของอุปกรณ์โทรศัพท์ ยางหูฟังสายชาร์จ adaptor ที่มีมากมายให้เราเรื่อยๆกันในเซเว่นอีเลฟเว่น

และวันนี้รู้สึกจะมาบอกเกี่ยวกับ 10 สิ่งของ หรือเมนูอาหารในเซเว่นอีเลฟเว่นที่น่าซื้อน่าสนใจมากที่สุด สำหรับใครที่อยากดูกันแล้วมาดูกันเลย!

  1. มาม่าตรา ok: ปัจจุบันมาม่าที่เข้ามาเป็นที่นิยมใน หมู่วัยรุ่นมากมายก็จะเป็นมาม่า OK นี่แหละ คิดว่าทำยอดขายได้ดีและมีผู้คนส่วนมากชอบนิยมกิน เป็นของยอดฮิตในเซเว่นที่ไม่ว่าใครเข้าไปต่างก็ต้องซื้อกัน!

2. แซนวิชแฮมชีส: เมื่อเราพูดถึงเมนูอาหารทานเล่นที่อร่อย และราคาไม่แพงมากนะหลายๆคนก็คงต้องนึกถึงแซนวิชแฮมชีสกันเป็นอย่างแรก เป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคนที่เข้ามาใน เซเว่นอีเลฟเว่นเลย.

3. ครัวซอง: ครัวซองถือเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารที่รับประทานได้ง่ายและสะดวก ไม่ว่าคุณจะเป็นสายไหนสายทำงาน สายไม่ชอบกินข้าว สายกินครัวซองต์ตอนดูหนังเป็นต้น.

4. ข้าวผัดกล่อง: สำหรับใครที่ชอบกินเมนูอาหารแบบข้าวข้าวผัดกล่องตอบโจทย์มากๆและถือเป็นเมนูยอดฮิตในชีวิตประจำวันของใครหลายๆคน ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอาหารในเซเว่นแล้วก็ ห้ามพลาดเด็ดขาด!

5. เครื่องปรุงรส: เครื่องปรุงรสส่วนมากในเซเว่นจะมีราคาที่ถูก สำหรับใครที่ไม่อยากออกไปตลาดใกล้ๆและคุณมีเซเว่นแถวบ้าน ก็สามารถไปหาเรียกดูเครื่องปรุงรสที่ต้องการได้ เช่นซอสมะเขือเทศซอสพริกเกลือน้ำตาลเป็นต้น!

6. สกินแคร์ต่างๆ: สกินแคร์ต่างๆใน 7-eleven มากมายทางสำหรับผู้ชายและสำหรับผู้หญิง คนสามารถเข้าไปเลือกซื้อเลือกใช้กันได้ ในราคาที่ย่อมเยาว์และมีคุณภาพประสิทธิภาพ.

7. ขนมกรุบกรอบต่างๆ: ขนมกรุบกรอบต่างๆในเซเว่นอีเลฟเว่นมีมากมาย หลากหลายยี่ห้อไม่ว่าจะเป็นเลย์ สแน็คแจ๊ค potato หรือ ขนมหลากหลายยี่ห้ออื่นอีกมากมายที่อร่อย!

8. น้ำดื่มน้ำต่างๆ:แน่นอนอยู่แล้วว่าในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นขาดน้ำไม่ได้ ตั้งนานบ้านใครที่อยู่ใกล้เซเว่นก็ส่วนมากมักจะไปซื้อน้ำ ต่างๆในเซเว่นเพราะมีให้เลือกมากมาย!

9. ลูกอมยาดมต่างๆ: เหมาะสำหรับคนที่เป็นสายลูกอมชอบลูกอมชอบหมากฝรั่ง ต่างๆคนที่ชอบกินลูกอมในหลายๆเม็ดเป็นชีวิตจิตใจ.

 10. ปิดท้ายด้วยไส้กรอก CP: เมนูยอดฮิตยอดนิยมไม่ว่าใคร ที่เข้ามาก็ต่างจะมาซื้อ CP กันไปทางนั้นเนื่องจากเป็นวัตถุดิบและเมนูที่ สดใหม่มีคุณภาพ และอร่อยมากๆ ไม่เพียงแต่จะซื้อไส้กรอก CP เท่านั้นแต่ยังเป็นวัตถุดิบของ CP ด้วย เป็นต้น.

และนี่ก็คือ 10 เมนู ในเซเว่นอีเลฟเว่นที่เราขอแนะนำนั่นเอง!

เครดิตของรูปภาพทั้งหมด

รูปที่ 1 จาก pixabay

รูปที่ 2 จาก mgronline.com

รูปที่ 3 จาก Facebook

รูปที่ 4 จาก akerufeed.com

รูปที่ 5 จาก Twitter

รูปที่ 6 จาก Google site

#รีวิวของฮิต 7-11 #สินค้ายอดนิยมเซเว่น #ของกินฮิตเซเว่น

Categories
รีวิวของกิน

มิติใหม่! กินสเต็กริมทุ่งนาสุดครีเอทีฟ @ ชัยนาท

            คุณเคยเบื่อหรือไม่กับการที่ต้องนั่งกินสเต็กอยู่ภายในร้านหรู ๆ ภายในห้องปรับอากาศ เก้าอี้บุแบบโมเดิร์น และเสียงเพลงฝรั่งแบบชวนให้เคลิบเคลิ้มเวอร์วังอลังการจนบรรยากาศแทบจะโรแมนติกเกินเบอร์ และเข้าถึงแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น แน่นอนว่าภาพจำของร้านสเต็กที่ทุกคนไปนั่งต้องเป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่กับเวลานี้ที่จังหวัดชัยนาท  คุณจะได้พบกับ “The Best Steak กลางทุ่ง” ร้านอาหารริมทุ่งนาข้าวที่เก๋ไก๋เปิดมิติใหม่แห่งวงการสเต็กที่แท้ทรูจนต้องร้อง “อู้หู!คือน่าไปนั่งกินสเต็กชมวิวทุ่งนาแท้น้อออเจ้า” ร้านสเต็กนี้จะมีคสามพิเศษอะไรรอคุณอยู่ เราจะขอมาบอกเล่ากันเลยดีกว่าเพื่อไม่ให้เป็นการรอช้า

ทำความรู้จักกับ “The Best Steak กลางทุ่ง

            “The Best Steak กลางทุ่ง” เป็นร้านสเต็กที่ตั้งอยู่ริมทุ่งนาอันกว้างใหญ่ของตำบลห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท โดยเจ้าของร้านสเต็กริมทุ่งนาชัยนาทหนึ่งเดียวของไทยแห่งนี้คือ “นายไสว บุญเมือง” ข้าราชการครูเกษียณอายุ 64 ปีที่พลังใจไม่มีวันหมดตามวัยทำงาน ท่านต้องการจะมีร้านอาหารของตัวเองที่สามารถถ่ายทอดความงดงามของธรรมชาติในท้องถิ่นตำบลห้วยกรดบ้านเกิดให้เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปมากยิ่งขึ้นและสเต็กก็เป็นอาหารที่คนทั่วไปชอบอยู่แล้ว แต่มักจะพบกันในร้านอาหารใหญ่ ๆ ซึ่งแม้จะบรรยากาศหรูหราสมราคาจริง แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้สุขใจกับบรรยากาศขณะที่รับประทานสเต็กได้เท่ากับอยู่ริมทุ่งนาข้าวที่เงียบสงบแน่นอน จากความใฝ่ฝันนี้จึงเกิดเป็น“เดอะเบสต์สเต็ก” ริมทุ่งนาขึ้นมา ซึ่งเป็นร้านอาหารใหม่ที่เริ่มโด่งดังของจังหวัดชัยนาทเมื่อไม่นานมานี้

บรรยากาศมิติใหม่ของ The Best Steak กลางทุ่ง”

            “The Best Steak กลางทุ่ง” ร้านสเต็กริมทุ่งนาจังหวัดชัยนาทจะแตกต่างจากร้านสเต็กหรือร้านอาหารทั่วไปตรงที่ตัวร้านจะมีจัดบรรยากาศธรรมชาติที่เน้นสีเขียวเป็นหลักของสวนด้านหน้าที่เป็นบ่อน้ำสีมรกตราวกับอยู่ต่างประเทศ และด้านหลังของร้านจะเป็นระเบียงยื่นออกไปให้สามารถนั่งรับประทานสเต็กที่โต๊ะและชมทุ่งนาอันอุดมสมบูรณ์ได้แบบ 360 องศา โซนที่นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศของร้านเดอะเบสต์สเต็กชัยนาทจะมี 2 โซน คือ โซนระเบียงร้านใหญ่กับโซนที่นั่งแบบกระท่อมเป็นจุด ๆ ให้เสมือนเราได้อยู่กลางทุ่งนาที่ตัดขาดจากความวุ่นวายโลกภายนอก เป็นทั้งร้านอาหารและที่พักผ่อนได้ดีจริง ๆ

เมนูที่คุณจะได้ลิ้มลองความอร่อยที่ The Best Steak กลางทุ่ง”

            “The Best Steak กลางทุ่ง” มีสเต็กหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นพอร์คช็อป สเต็กหมู สเต็กไก่ และอื่น ๆ ตามแบบสเต็กร้านอื่น แต่ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครก็คือ สเต็กทุกชิ้นจะใช้วิธีการหมักน้ำตาลโตนดซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติจากต้นโตนดที่เป็นต้นไม้พืชผลผลิตทางเกษตรสำคัญของตำบลห้วยกรดอันเลื่องชื่อ ทำให้ยิ่งน่าลองรับประทานเข้าไปใหญ่ อีกทั้งราคาก็ไม่แพงด้วย สเต็กทุกอย่างราคาเพียง 89 บาท และเมนูพิเศษอย่างพอร์คช็อปหมักตาลโตนด ก็ขายเพียง 109 บาท นอกจากนี้ยังมีอาหารกินเล่น ,อาหารจานเดียว และเครื่องดื่มชา กาแฟสด และน้ำผลไม้เย็นชื่นใจคลายร้อนได้ด้วย ต้องมาลองให้ได้สักครั้งในชีวิต!

รูปภาพประกอบ : https://www.naewna.com/

The Best Steak กลางทุ่ง

ที่ตั้ง : ถนน 3010 ตำบลห้วยกรด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท 17150

Google Map : https://goo.gl/maps/L88YuC7cUWudr9zd6

เวลาเปิดให้บริการ : เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 09.30 – 17.30 น

หมายเลขโทรศัพท์ : 082 186 0902

Facebook : The Best Steak กลางทุ่ง

#The Best Steak กลางทุ่ง #รีวิวร้านเด็ด #ร้านดังชัยนาท

Categories
รีวิวของกิน

เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ร้านเด็ดเยาวราชข้าวต้มปลาเตาถ่านในตำนานที่ส่งต่อมา 93 ปี!

          เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ร้านข้าวต้มที่คนรักอาหารประเภทน้ำร้อนๆที่ถ้าถามถึงว่าร้านไหนอร่อยในเยาวราชจะต้องนึกถึงร้านนี้ เพราะเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา คือร้านข้าวต้มในตำนานที่มีประวิตและความอร่อยแบบคลาสสิคเพราะร้านเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา เป็นร้านข้าวต้มปลาในตำนานย่านเยาวราชที่เปิดมานานกว่า 93 ปี และเป็นร้านข้าวต้มที่ยังอร่อยและขายดีมาอย่างยาวนานด้วยการที่ เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา มีการส่งต่อสูตรลับเฉพาะทายาทแบบรุ่นสู่รุ่นจนตอนนี้ก็มีทายาทสืบทอดร้านเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา มาแล้วถึง3 รุ่น ซึ่งนอกจากความร่อย ความคงคุณภาพที่รักษามาอย่างยาวนานแล้วสิ่งที่ทำให้คนรักข้าวต้มหรือคนที่ชอบทานเมนูข้าวต้มรอบดึกชอบร้าน เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ก็คือที่ร้านยังคงใช้สูตรต้นตำรับที่ใช้เตาถ่านในการต้มข้าวต้ม และยังคงรักษาคุณภาพในการคัดเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สดใหม่ไม่ต่างจากเดิมทำให้มีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์นั่นเอง

         หากใครที่จะไปทานที่ร้าน เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ร้านจะอยู่ติดกับริมถนนในซอยเจริญกรุง 12 ตัวร้านจะเป็นตึกแถว 1 ห้อง สังเกตด้านหน้าร้านจะมีรถเข็น และมีการทำแบบถ้วยต่อถ้วยปรุงสุกสดใหม่ทุกจานทุกวัน  ส่วนที่นั่งของร้านเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ก็จะตั้งอยู่ด้านหน้าบนฟุตบาท มีให้เลือกนั่งประมาณ 6-7 โต๊ะ นั่งได้โต๊ะละประมาณ 4 คน

เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ร้านข้าวต้มของคนรักเนื้อปลาและหอยนางรม

เมนูเด็ดของร้านเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ก็มีหลากหลายเมนูทั้งเมนูเด็ด:ข้าวต้มหอยนางรม, กระเพาะปลาสด, เกาเหลาหอยนางรม, ข้าวต้มปลาจาระเม็ด, ข้าวต้มปลากระพง, ข้าวต้มปลากะพง, ข้าวต้มบะเต็งใส่กุ้งแห้ง, ข้าวต้มปลาเต๋าเต้ย, ข้าวต้มปลากะพงทะเลและข้าวต้มรวมมิตร ซึ่งนอกจากเมนูที่หลากหลายก็มีราคาและขนาดให้เลือกตามแต่ความหิวด้วยเช่นกัน คือเริ่มตั้งแต่ 300-500 บาท ซึ่งเมนูข้าวต้มปลาของเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา ก็จะเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นถึง 93 ปี และนอกจากสูตรอาหารที่ยังคงความเป็นต้นตำรับแล้ว ทางร้านยังคงใช้เตาถ่านในการต้มข้าวต้มเหมือนเดิม ทำให้ได้รสชาติและบรรยากาศที่ค่อนข้างคลาสสิคเลยทีเดียวค่ะ อีกทั้งวัตถุดิบแต่ละอย่างที่นำมาปรุงอาหารนั้น ทางร้านก็มีการคัดเลือกเองกับมือในทุกๆ วันเพื่อความสดใหม่ให้ลุกค้าได้ทานอาหารดีๆทุกวันอีกด้วย

การเดินทางไปร้าน เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา

           ร้านข้าวต้มปลาเซี่ยงกี่ตั้งอยู่ซอยเจริญกรุง 12 (ถนนเยาวราช) สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถสาธารณะสามารถนั่งรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีวัดมังกร (ทางออก 2) จากนั้นเดินประมาณ 400 เมตรมาจนถึงซอยเจริญกรุงแล้วเดินเข้าซอยอีกประมาณ 100 เมตร จะเจอร้านข้าวต้มเซี่ยงกี่ข้าวต้มปลาตั้งอยู่ทางขวามือ ส่วนใครที่เดินทางด้วยรถส่วนตัว สามารถมาทางถนนเยาวราช แล้วเข้าทางด้านหน้าซอยเจริญกรุง 12 ได้เลย

เวลาเปิด 16:00-22:00 หรือโทรสอบถามโต๊ะได้ที่ 0899686842 ส่วนที่จอดรถก็สามารถจอดตามข้างทางบนถนนสัมพันธวงศ์ได้เลย

เครดิตรูปภาพ Facebook.com/siangki.khaotompla

#เซี่ยงกี่ข้าวต้มปลา #ร้านดังเยาวราช #รีวิวร้านอร่อย

Categories
รีวิวของกิน

รีวิว “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” เครื่องดื่มออกใหม่ของ 7-11

            กอนนิจิวะค่ะทุกคน! วันนี้เราก็มาแบบญี่ปุ่นจัดเต็มทั้งวัฒนธรรมการทักทายและสินค้าออกใหม่ของ 7-11 ที่จะนำมารีวิวกันวันนี้เลย เพราะนี่คือ “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” ชาเขียวแท้ที่ได้ยินมาว่ากำลังดังในกลุ่มชี้เป้าของกิน 7-11 มากก็เลยอดใจไม่ไหวลองซื้อมาดู เพราะปกติตัวเองเป็นคนที่ชอบชาเขียวอยู่แล้วก็เลยรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่า 7-11 ได้ออกเครื่องดื่มนมสเตอริไลส์รสใหม่อย่างอูจิมัทฉะลาเต้ออกมา นี่ก็อยู่จังหวัดเล็ก ๆ ได้แต่รอ ๆ ๆ จนกระทั่งมีโอกาสซื้อมาได้แบบฟลุค ๆ จะเป็นอย่างไรหรืออร่อยขั้นเทพตามที่คิดไหมมาอ่านรีวิวกันเลย!

รูปผลิตภัณฑ์ “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.”

            “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” เป็นนมสเตอริไลส์ที่ถูกบรรจุมาในขวดรูปแบบเดิมตามเอกลักษณ์ของยี่ห้อ CAFÉ & CO. ซึ่งมีลักษณะเหมือนขวดเครื่องดื่มขนาดกว้างและกะทัดรัดเหมาะมือง่ายสำหรับพกพาไปตามที่ต่าง ๆ 280 มิลลิลิตร ยิ่งเป็นขวดใส ๆ ก็ยิ่งชอบมาก เพราะมันทำให้เราเห็นสีสันของตัวเครื่องดื่มนมอูจิมัทฉะลาเต้ที่มีความเป็นสีเขียวเข้มข้นจัดภายในได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคคนอื่นสามารถตัดสินใจในวินาทีแรกที่เห็นได้ว่ามันน่าลองแค่ไหน เพราะหากเป็นชาเขียวที่ไม่เข้มข้นและเน้นนมเป็นหลักก็มักจะออกสีเขียวอ่อนที่ไม่เข้มข้นเท่านี้ โดยรวมประทับใจกับด้านนี้เป็นอย่างแรก ราคาก็แค่ 35 บาทเท่านั้น ได้ยินว่าใช้ชาแท้จากเมืองอูจิ ประเทศญี่ปุ่นด้วย

ส่วนผสมและการให้พลังงานของ “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.”

            “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” มีส่วนผสมของนมโคคืนรูปพร่องมันเนย 60% ,น้ำตาล 4.5% ,ผงชาเขียวอูจิมัทฉะ 0.5% ,สารควบคุมความเป็นกรด ,อิมัลซิไฟเออร์ ,สารทำให้คงตัว ,สีสังเคราะห์ และการแต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ โดยพลังงานทั้งหมดที่มีต่อร่างกายจะอยู่ที่ 250 กิโลแคลอรี่ และมีพลังงานจากไขมันอยู่ที่ 50 กิโลแคลอรี่ ป๊าด! คือพลังงานเยอะแท้

            คำเตือนในการดื่ม “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” คือ เครื่องดื่มนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้แพ้อาหารที่มีแลคโตสและเลซิทินจากถั่วเหลือง

รสชาติของ “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.”

            สำหรับรสชาติของ “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” ที่เราลองดื่มไปนั้นรู้สึกถึงรสชาติของชาเขียวมัทฉะที่ชัดเจน แต่ยังคงอยู่ในระดับที่น้อยกว่ากลิ่นและรสที่มีความเป็นถั่วเหลืองผสมจึงทำให้รู้สึกแปลกใจที่ทีแรกนึกว่าเครื่องดื่มตัวนี้จะเป็นนมชาเขียวล้วน ๆ แต่สัมผัสที่ได้มันกลับเหมือนเราดื่มนมถั่วเหลืองรสชาเขียวซะงั้น ส่วนระดับความหวานก็มีค่อนข้างมาก แนะนำว่าควรดื่มคู่กับน้ำแข็งไม่เนนั้นจะเกิดความเลี่ยนได้

 ส่วนตัวให้คะแนน “อูจิมัทฉะลาเต้ ยี่ห้อ CAFÉ & CO.” อยู่ที่ 7/10 พอนะคะ เพราะมันไม่ตอบโจทย์ความเป็นนมชาเขียวล้วนจริง ๆ แต่กลับมีการผสมของถั่วเหลืองด้วยซึ่งไม่แปลกใจเลยเมื่อดูแล้วพบว่าเป็นบริษัท โทฟุซัง จำกัดที่ผลิต เพราะบริษัทนี้เด่นเรื่องการผลิตนมถั่วเหลืองอยู่แล้วอย่างที่เรารู้กัน แต่ก็ยังดีที่ได้ลิ้มรสของอูจิมัทฉะซึ่งเราไม่เคยลิ้มลองมาก่อน

วิดีโอเพิ่มเติม :

#อูจิมัทฉะลาเต้ #รีวิวเครื่องดื่ม 7-11 #ชาเขียว CAFÉ & CO

Categories
รีวิวของกิน

ไวน์โลกเก่า VS ไวน์โลกใหม่ ต่างกันอย่างไร

ระหว่างไวน์โลกเก่ากับไวน์โลกใหม่ มักถูกกเข้าใจผิดอยู่เสมอ และบางคนก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าไวน์ทั้งสองชนิดมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร หากลองเข้าได้ไปสัมผัสและเรียนรู้จะพบว่ามีความต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะทำให้เราเลือกได้ว่าจะดื่มไวน์แบบไหนที่เหมาะกับความชอบของตัวเองและใช้สำหรับนำไปฝากผู้อื่น ๆ จึงอยากอธิบายให้เห็นถึงความแตกต่างให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ความต่างของไวน์โลกเก่า และโลกใหม่

                  ไวน์โลกเก่า หรือ Old World Wine เป็นไวน์ที่มีแหล่งผลิตอยู่ในแถบทวีปยุโรป ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของไวน์ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศอิตาลี สเปน โปรตุเกส ออสเตรีย เยอรมัน ฮังการี กรีซ และที่ขาดไปไม่ได้คือประเทศฝรั่งเศส นับได้ว่าเป็นต้นตำหรับของการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเลยทีเดียว ซึ่งในแต่ประเทศเหล่านี้มีการผลิตและดื่มไวน์กันมามากกว่า 5 ทศวรรษแล้ว นอกจากจะเป็นสถานที่ผลิต จำหน่าย ดื่ม กันอย่างแพร่หลาย ยังเป็นสถานที่สร้างกฎเกณฑ์ ข้อกำหนด และเทคนิควิธีการต่าง ๆ ตั้งแต่การเริ่มต้นปลูกองุ่นที่เป็นวัตถุดิบสำคัญ การหมักในถังโอ๊ค ขั้นตอนการดื่ม วิธีการดื่ม แก้วที่ใช้ อาหารที่ทาน และอื่น ๆ อีกมากมายอีกด้วย โดยกระบวนการเหล่านี้สืบถอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นกันเลยทีเดียวจวบจนปัจจุบัน ในส่วนของไวน์โลกใหม่ New World Wine เป็นไวน์ที่ผลิตนอกเหนือไปจากประเทศในแถบยุโรป และมีการผลิตออกมาในภายหลัง อย่างเช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ อาร์เจนติน่า รวมถึงแถบเอเชีย เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น จีน รวมถึงประเทศไทยด้วย เป็นการนำวัฒนธรรมการผลิตไวน์เดิมมาปรับใช้ให้เข้ากับขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมพื้นถิ่นนั้นเอง ซึ่งในไวน์ใหม่นี้อากาศจะอุ่นกว่าทำให้ผลองุ่นนั้นสุกได้ที่กว่า ทำให้ในตัวของไวน์มีจำนวนแอลกอฮอล์ และ Body ที่สูงตามมาด้วย ส่งผลให้รสชาติของผลไม้ออกมาได้อย่างเด่นชัด และส่วนมากในกระบวนการผลิตจะใช้ถังโอ๊คมากกว่าด้วย

รสชาติสัมผัสที่มีความแตกต่าง

                  สำหรับความแตกต่างในเรื่องของรสชาติของไวน์ทั้งสองโลกนั้นอยู่ที่วัตถุดิบในการผลิต ซึ่งโลกใหม่วัตถุดับอย่างต้นองุ่นถูกปลูกในอุณหภูมิที่อุ่นกว่า ส่งผลให้มีรสชาติบ่งบอกได้ถึงแหล่งที่ปลูกแต่ละแห่งเป็นอย่างดี ส่วนโลกเก่านั้นมีการปลูกวัตถุดิบในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นจัด ดังนั้นไวน์โลกเก่าจึงมีลักษณะของ Body จำนวนแอลกอฮอล์ที่เบากว่านุ่มกว่า และให้ความเป็น Acidity สูงกว่าด้วย รสสัมผัสจึงออกไปทางแร่ธาตุมากกว่าการเป็นผลไม้ ความสุกจะไม่มาก เช่น องุ่นของ Pinot Noir, Syrah หรือ Cabernet Sauvignon ที่ให้รสชาติเป็นแร่ธาตุเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโลกเก่าจะไม่มีแบบรสชาติผลไม้ไปเลยทีเดียว ในประเทศอิตาลี บางยี่ห้อผลิตไวน์ออกมาได้รสชาติของผลไม้ที่ดี มีความหรูหรา ซึ่งเป็นเสน่ห์ของไวน์ยุคเก่าที่ให้ทั้งรสชาติละมุนลิ้น และมีกระบวนการผลิตเป็นขั้นเป็นตอน จึงมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับไวน์โลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกองุ่น การคัดเลือก กระบวนการหมัก รวมไปถึงการใช้โอ๊คที่ให้ความรู้สึกถึงรสชาติผลไม้ และ Full-Bodied รวมถึง Innovation ได้มากกว่านั้นเอง

              แม้ว่าไวน์ทั้งสองโลกจะมีความแตกต่างชัดเจนจากแหล่งผลิต ซึ่งไวน์โลกเก่า จะมี Body รวมถึงแอลกอฮอล์ที่เบากว่า แต่ให้ความเป็น Acidity สูงกว่า รสสัมผัสจึงออกไปทางแร่ธาตุเป็นส่วนใหญ่ แต่ความคลาสสิคในเรื่องของกระบวนการผลิต แหล่งผลิต และประวัติศาสตร์ที่ยาวนานทำให้หลายคนยังหลงไหลในรสชาติและความรู้สึกถึงความเป็นไวน์ แต่หากผู้ที่ชื่นชอบไวน์ที่มี Body และแอลกอฮอล์สูง ได้รสชาติผลไม้ต้องไวน์โลกใหม่ ชื่นชอบแบบไหนเลือกทานกันได้เลย

เครดิตภาพ : thestandard.co / all-free-download.com / mycanopy.org

Youtube :

ไวน์โลกเก่า VS ไวน์โลกใหม่ โลกไหนดีกว่ากัน ?

OLD WORLD WINES ไวน์โลกเก่า

กฎเกณฑ์การผลิตไวน์ในโลกเก่า(ทวีปยุโรป)

#ไวน์โลกเก่า VS ไวน์โลกใหม่ #แนะการเลือกไวน์ #เลือกไวน์อย่างไรดี

Categories
รีวิวของกิน

ทำไมช็อกโกแลต(Chocolate) ที่ดีต้องมาจากเบลเยี่ยม

หากพูดถึงช็อกโกแลต หลายคนจะต้องนึกถึงประเทศเบลเยี่ยม เพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตที่ดีที่สุดในโลก ในเมืองทุกเมืองไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่จะต้องมีร้าน Chocolate อยู่แทบทุกที่ตามหัวมุมถนน โดยเฉพาะกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศ จนได้รับฉายาว่า “เมืองแห่งช็อกโกแลต”

เบลเยี่ยม ประเทศแห่งช็อกโกแลตที่ดี

                  ประเทศเบลเยี่ยมมีพื้นที่เพียง 30,280 ตารางกิโลเมตร มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 17 เท่า แต่สามารถส่งออกช็อกโกแลตได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากประเทศเยอรมนีที่มีขนาดพื้นที่มากกว่า 10 เท่า มูลค่าการส่งออกในแต่ละปีมากกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งประเทศเล็ก ๆ ในเขตหนาวเย็นแห่งนี้ ไม่มีพื้นที่เพียงพอในการปลูกโกโก้ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต แล้วอะไรที่ทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตในระดับโลกได้ อีกทั้งเมล็ดของต้นโกโก้นั้น เป็นพืชในเขตร้อน ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกากลางและใต้ ที่นิยมปลูกกันมากที่สุดในคือในประเทศเม็กซิโกที่เคยเป็นชนพื้นเมืองของจักรวรรดิแอซเท็ก อารยธรรมเก่าแก่ที่ใช้เมล็ดโกโก้แทนเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้าเนื่องจากเป็นสิ่งที่หายากและมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะจะนำมาต้มทำเครื่องดื่มบำรุงพละกำลัง เรียกกันว่า Chocolate และกลายมาเป็นสินค้ายอดนิยมมาจวบจนถึงปัจจุบัน

เหตุผลว่าทำไมเบลเยี่ยม ต้องมีช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงระดับโลก

              ในช่วงศตวรรษที่ 15 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวสเปน เดินทางค้นพบทวีปอเมริกา และเข้ายึดครองดินแดนของชาวแอซเท็กเข้าเป็นอาณานิคม สินค้าต่าง ๆ จึงถูกนำกลับประเทศบ้านเกิด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ ทองแดง และพืชเขตร้อนต่าง ๆ รวมถึงเมล็ดโกโก้ด้วย ในเวลานั้น เมืองท่าที่สำคัญของสเปน เรียกว่า แฟลนเดอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเบลเยี่ยมในปัจจุบันและนำเครื่องดื่มช็อกโกแลตมาเผยแพร่ ทำให้เบลเยี่ยมมีความผูกพันกับโกโก้มาตั้งแต่นั้น ต่อมาในยุคจักรวรรดินิยม หรือปลายศตวรรษที่ 19 ดินแดนแอฟริกากลายเป็นอาณานิคมและได้มีการนำโกโก้ปลูกและขนส่งกลับยุโรป และเมื่อมีเพิ่มมากขึ้นช็อกโกแลตจึงนิยมโดยทั่วไป ในส่วนของประเทศเบลเยี่ยม ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1830 ในสมัยพระเจ้าลีโอโปลด์ที่ 2 ได้ครอบครองป่าดงดิบขนาดใหญ่ เรียกว่า คอกโกของเบลเยี่ยม ซึ่งสถานที่แห่งนี้อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร มีฝนตกตลอดปี เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นโกโก้ ทำให้มีแหล่งเพาะปลูกเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตามยังผลิตได้น้อย และต้องนำเข้าช็อกโกแลตมากที่สุดในยุโรปอีกด้วย แต่เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำจึงเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญนอกจากนี้ยังตั้งอยู่ระหว่างมหาอำนาจ ทำให้ผู้คนปรับตัวได้เก่ง และนำความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับมาประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ จนกลายมาเป็นผู้ส่งออกได้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เช่น ในปี ค.ศ.  1857 Jean Neuhaus เภสัชกรต้องการแก้ปัญหาให้ผู้ป่วย จึงนำช็อกโกแลตมาเคลือบยา ให้กินได้ง่ายขึ้น ต่อมา ปี ค.ศ. 1912 หลานชายของเขาได้ต่อยอดนำไส้มาใส่ตรงกลาง เรียกว่าพราลีน และกลายเป็นร้านช็อกโกแลตแบรนด์ Neuhaus อีก 3 ปีต่อมาได้คิดต้นกล่องสำหรับบรรจุขึ้นเรียกว่า Ballotin และมีการพัฒนาต่อยอดมาอย่างต่อเนื่องทั้งช็อกโกแลตแท่ง ช็อกโกแลตแท้สำหรับแปรรูป เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นยังได้มีการกำหนดและควบคุมคุณภาพโดยผู้ผลิตกว่า 170 แห่ง รวมตัวกันจัดตั้ง The Royal Belgian Association of the Chocolate, Pralines, Biscuit and Confectionary หรือ Choprabisco ขึ้น หากบริษัทที่สามารถทำได้ตามมาตรฐานนี้จะได้ชื่อว่าเป็นช็อกโกแลตจากประเทศเบลเยี่ยมบนผลิตภัณฑ์ได้ นอกจากคุณภาพแล้วยังมีการวิจัยและพัฒนาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยมี University of Ghent ตั้งหน่วยวิจัย Cocao Lab เพื่อพัฒนาวิจัย คัดสรรโกโก้ที่ดีที่สุดออกสู่ตลาดโลก จนเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาจวบจนปัจจุบัน

              มาถึงตรงนี้คงพอเข้าใจแล้วว่าทำไม Chocolate ที่ดีทำไมต้องมาจากประเทศเบลเยี่ยม ไม่เพียงด้านคุณภาพ แต่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์มาตลอดเวลากว่า 100 ปี ที่ไม่มีแม้แต่พื้นที่เพาะปลูกเมล็ดโกโก้ แต่ได้สร้างสรรค์ช็อกโกแลตคุณภาพสูง เข้มข้น นุ่มละมุน ละลายทันทีเมื่อสัมผัสในปากจนทั่วโลกยอมรับว่าสินค้าที่ดีต้องมาจากประเทศนี้เท่านั้น

เครดิตภาพ : 168asiatopten.com / wordpress.com / hola.com

Youtube :

10 เรื่องจริงของ ช็อกโกแลต (Chocolate) ที่คุณอาจไม่เคยรู้

ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต? 

#ช็อคโกแลต #ช็อกโกแลตแท้ #ช็อกโกแลตเบลเยี่ยม

Categories
รีวิวของกิน

ร้านผึ้งน้อย เบเกอรี่สายเลือดไทย ราคามิตรภาพ

            ร้านผึ้งน้อยเบเกอรี่ เป็นร้านขนมที่มีหลายสาขาแพร่หลายในเมืองไทย เชื่อว่าหลายหลายคนต้องเคยเห็นร้านสัญลักษณ์รูปป้ายสีเหลืองเขียนว่า ผึ้งน้อย ตามที่ต่างๆกันมาแล้วทั้งนั้น ร้านผึ้งน้อยเป็นร้านขนมที่มีจุดเด่น คือ ราคาสามารถเอื้อมถึงได้ มีขนมทุกอย่างแสนถูกตั้งแต่ราคา 5 บาทจนไปถึงหลัก 100 ให้เลือกสรร รวมทั้งจำนวนของร้านก็มีเยอะพอๆกับร้านสะดวกซื้อเซเว่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะในห้างจะมีร้านผึ้งน้อยแทบทุกสาขา

ร้านผึ้งน้อย เบเกอรี่สายเลือดไทย ราคามิตรภาพ2

ร้านผึ้งน้อยปังหรือพัง

            ด้วยความที่ร้านผึ้งน้อยเป็นร้านที่มีหลายสาขาและราคาถูกมากกว่าร้านเบเกอรี่ทั่วไป จึงมีขนมหลากหลายเกรด บ้างก็เป็นขนมที่ทำค้างคืน บ้างก็เป็นขนมที่ทำสดใหม่ทุกวัน อีกทั้งร้านผึ้งน้อยยังเป็นร้านแฟรนไชส์ที่ไม่ว่าใครๆก็สามารถซื้อมาเปิดสาขาได้เอง

โดยทางร้านผึ้งน้อยจะให้สูตรต่างๆพร้อมทั้งวิธีการดูแลร้านขั้นพื้นฐาน ไม่ได้เคร่งคัดมาก ทำให้มีบ้างที่เราอาจจะดวงซวยไปเจอร้านแย่ๆ ที่ขายขนมไม่มีคุณภาพ อย่างขนมขึ้นราหรือของหมดอายุ แต่กับบางร้านที่ให้ความใส่ใจมากก็ทำให้เราประทับใจจนแทบน้ำตาใหลเลยทีเดียว

เพราะขนมของทางผึ้งน้อยที่ดีจริงๆจะเป็นแบบที่ปรุงสดใหม่ออกจากเตาร้อนๆ เดินผ่านร้านทีไรก็มักจะได้กลิ่นเบเกอรี่หอมๆลอยเตะจมูกทุกครั้ง นอกจากเบเกอรี่แล้วทางร้านผึ้งน้อยยังขายสารพัดขนมและเครื่องดื่ม อีกทั้งยังมีไอติมอีกด้วย

เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะหาขนมแบบไหนอยู่ก็สามารถเจอได้ที่ร้านผึ้งน้อยตั้งแต่ขนมไทย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุดในร้านผึ้งน้อย คือ เค้กหน้านิ่ม ราคาเพียงแค่สาม 30 กว่าบาท แต่รสชาติระดับพรีเมี่ยม

มีความขมของช็อกโกแลต ความหวานและความนิ่มอร่อยละมุนละลายในปาก ส่วนซอสเซสของที่นี่เองก็อร่อย มีเนื้อมายองเนสมันๆปริมาณเยอะจุใจ รสชาติไม่เลี่ยน ตัดกับขนมปังและไส้กรอกชิ้นหนา ในราคาเพียง 25 บาท ขนมปังหน้าคุกกี้เองก็อร่อย มีความกรอบนอกนุ่มในหอมกลิ่นคุกกี้ ก้อนละประมาณ 20 บาท กินอิ่มเหมือนข้าวมื้อหนึ่ง

ร้านผึ้งน้อย เบเกอรี่สายเลือดไทย ราคามิตรภาพ3

            ในส่วนของรสชาติและคุณภาพนั้นถือว่า ร้านผึ้งน้อยอยู่ในระดับปานกลาง ดีกว่าขนมปังของร้านโชห่วยทั่วไป แถมยังมี อย. รับประกันได้ว่ากินแล้วไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่วนขนมก็มีคละๆกันไป

ทั้งถูกปากและไม่ถูกปาก แต่เรื่องความสะอาดของร้านและบรรจุภัณฑ์ทำมาดี รู้สึกสะอาดถูกหลักอนามัย หากใครยังไม่มีโอกาสได้ลองชิมร้านผึ้งน้อยดูสักครั้งผู้เขียนก็อยากให้ลองเปิดใจดู มาสนับสนุนแบรนด์ขนมคนไทยที่ราคาเอื้อมถึงได้ มั่นใจเลยว่าสักวันร้านผึ้งน้อยต้องพัฒนาคุณภาพไปได้ไกลกว่านี้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพ 1 จาก www.prachachat.net

เครดิตภาพ 2 จาก www.eventsweekly-news.com

เครดิตภาพ 3 จาก www.wongnai.com

#ร้านผึ้งน้อย เบเกอรี่ #เบเกอรี่คนไทย #รีวิวเบเกอรี่ผึ้งน้อย

Categories
รีวิวของกิน

รีวิวคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico จากมาเลเซีย

            ล่าสุดเราได้มีโอกาสสั่งขนมคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico มาจากหน้าร้านออนไลน์ของใต้ที่มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น ยิ่งเป็นคุกกี้ลาวาในเมืองไทยเรานั้นหาค่อนข้างยากอยู่ พอลองได้กินดูหลังจากที่สั่งซื้อมาแล้วก็ไม่ผิดหวังจึงอยากจะนำมารีวิวให้ทุกคนได้รู้กันสักหน่อยเผื่อจะหาซื้อคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico ตามเรามาบ้าง อยากบอกว่าขนมทุกอย่างหากมาจากมาเลเซียนี่อร่อยทั้งนั้น ความรู้สึกเหมือนเราได้กินขนมเด็ด ๆ ของไทยในอดีตที่หายากแล้ว แต่มาเลเซียยังหาได้เยอะ เอาล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูรีวิวคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico กันเลยแล้วกันนะคะ

รูปผลิตภัณฑ์คุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico

            คุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico จะถูกบรรจุอยู่ในกล่องสีเขียวที่มีรูปร่างคุกกี้กลม ๆ วางเป็นจุดเด่นโดยมีผงกรรมวิธีการทำชาเขียวสำหรับบริโภคสไตล์ญี่ปุ่นโบราณเป็นพื้นหลังทำให้ดูมีความโดดเด่นน่าลอง อีกทั้งข้อมูลจำนวนซองที่มีคุกกี้อยู่ชิ้นละซองก็มีบอกชัดเจนว่าภายในกล่องมีด้วยกัน 5 ซอง ซึ่งก็นับว่าดีมาก เพราะขนมของไทยเราบางอย่างก็ไม่บอกไว้ที่หน้ากล่องว่ามีกี่ซองทำให้เราไม่สามารถคำนวณได้ คือโดยรวมแล้วหน้ากล่องคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico ดูแพงแบบพรีเมียมมากเลยทุกคน และเพราะเหตุนี้นั่นเองทำให้เราตัดใจไม่ไหวต้องสั่งซื้อมา ณ ตอนนี้

การให้พลังงานและส่วนประกอบของคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico

            คุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico มีส่วนประกอบของครีมชามัทฉะ ,แป้งสาลี ,แป้งข้าวโพด ,น้ำมันพืช ,ผงนม ,ถั่วเหลือง ,บัตเตอร์ และผงวานิลลาด้วยนะคะ สำหรับใครที่แพ้พวกนมและไข่ก็ควรงดการรับประทานคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico เพราะอาจจะทำให้ร่างกายของคุณเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่แพ้นมนี่ต้องหลีกเลี่ยงเป็นอันขาด ดูแล้วขนมนี้เหมือนจะใส่ส่วนประกอบนมเข้าไปเยอะมากเพื่อความหอมและกลมกล่อมด้วย ส่วนการให้พลังงานทั้งหมดของคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico จะอยู่ที่ 250 กิโลแคลอรี่ค่ะ

รสชาติของคุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico

            คุกกี้ลาวาไส้มัทฉะยี่ห้อ Unico มีความนุ่มในกรอบนอกของตัวคุกกี้ที่นุ่มปากมาก กลิ่นของชาเขียวจะออกมาเล็กน้อยปนมากับพวกกลิ่นเนยที่อบจนได้รสมันชัดเจน แต่ที่ฟินมากที่สุดคือพอกัดคุกกี้ไปแล้วก็จะมีลาวาครีมชาเขียวไหลออมาจริง ๆ แต่เป็นปริมาณที่พอดี รับประทานได้เรื่อย ๆ ไม่ได้ไหลทะลักมาแบบที่คิด รสชาติของลาวาชาเขียวจะมีความหอมปนฝาดนิด ๆ เพราะใช้ชาแท้ของญี่ปุ่น ซึ่งเราให้คะแนน 9 เต็ม 10 เลยสำหรับคุณภาพวัตถุดิบ แต่หากมีรสชาเขียวที่เน้นเข้มข้นกว่านี้ก็จะดีมาก

#คุกกี้ลาวา Unico #รีวิวคุกกี้ Unico #คุกกี้ลาวาไส้มัทฉะ Unico